
30 Jan รู้จัก Blockchain ตั้งแต่ต้น
เริ่มจากตรงไหน?
Blockchain คืออะไร ความจริงคนเริ่มถูกพูดถึงกันมานานตั้งแต่ปี 2008 จนมาถึงปัจจุบันเลยนะเนี่ย แต่เรื่องนี้น่าสนใจตรงที่ว่า คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมคนพูดถึงอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะยังคงเป็นเทคโนโลยีที่มาแรงสำหรับยุคนี้ เวลาที่เราได้ยินคำนี้มักจะมีคำอื่นพ่วงมาด้วย เช่น Bitcoin หรือสกุลเงินดิจิทัล สองอย่างนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร เราจะท้าวความสั้นๆสักสองสามบทความเพื่อปูเนื้อหาเบื้องต้นถึงที่มาที่ไป ใจความสำคัญของระบบนี้คืออะไรกันแน่ ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องว่าคนยุคนี้จะเอา Blockchain ไปทำอะไรต่อไปในอนาคต
เรื่องราวเกิดจากเงินๆทองๆที่ไม่เข้าใครออกใคร ในปี 2008 ประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจาก subprime ทำให้สหรัฐอเมริกาตัดสินใจพิมพ์เงินจำนวนมากเข้าระบบใหม่ โดยไม่มีการรับประกัน เรียกว่าพิมพ์กันขึ้นมาลอยๆอยากได้เท่าไหร่พิมพ์ไปเท่านั้น เพื่อมายื้อชีวิตเศรษฐกิจของประเทศ ประชาชนทุกคนจะได้มีเงินไปจับจ่ายและชำระหนี้กันต่อไป แถมยังตั้งชื่อการพิมพ์เงินแบบเท่ๆว่า QE (Quantitative Easing) เหตุการณ์นี้ทำให้คนทั้งโลกต้องช็อคไปตามๆกัน (เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วในปี 1971 เรียกเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า ปรากฏการณ์ Nixon Shock)
จาก QE นี้เองทำให้ผู้คนตั้งคำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของระบบการเงินที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลกลาง จนมีผู้ใช้คนหนึ่ง (หรือกลุ่มหนึ่ง) ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto (แจ้งไว้แต่เนิ่นๆก่อนว่า ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบว่าสรุปแล้ว Satoshi Nakamoto เป็นคนๆเดียวหรือกลุ่มคน จากนี้จะเรียกเป็นนามแฝงตามที่ได้ข้อมูลมา) ได้ทำการปฏิวัติโลกของเงินตราด้วยการนำเสนอเทคโนโลยี Blockchain และเงินดิจิทัลที่เรียกว่า Bitcoin กลายเป็นที่กล่าวขานกันต่อมา แถมยังเลื่องลือในเรื่องความปลอดภัยและความน่าเชื่อถืออย่างที่สุด ณ ขณะนั้น จากตรงนั้นมาถึงตรงนี้เราขอวางเรื่องของ Bitcoin ไว้ก่อน แล้วมาคุยในเรื่องของ Blockchain แทน
Blockchain ในยุคเริ่มต้นโปร่งใสแค่ไหน ?
ทีนี้เรามาเข้าใจกันก่อนว่าเทคโนโลยี Blockchain คืออะไร ทำไม Satoshi Nakamoto ถึงได้พัฒนาขึ้นมาใช้เพื่อบอกว่าสิ่งนี้โปร่งใสกว่าและปลอดภัยกว่าที่เคยมีมา ให้เราลองนึกภาพของเรากับธนาคาร ปกติแล้วหากเราต้องการจะทำธุรกรรมทางการเงินไม่ว่าจะฝาก ถอน หรือโอนเงิน เราต้องไปทำผ่านธนาคารเท่านั้น ตรงนี้เราเรียกว่า ความเป็นศูนย์กลางหรือระบบที่รวมทุกอย่างไว้ที่ตัวกลาง (Centralized) ธนาคารจะเป็นผู้รับเรื่อง บันทึก เก็บเงินแต่เพียงผู้เดียว ส่วนเราได้แค่สำเนาหรือสมุดบัญชีเก็บไว้เป็นหลักฐาน มีแค่เราและธนาคารที่รู้ข้อมูลการเดินบัญชี และหากเราต้องการโอน ก็จะมีการบันทึกการเดินบัญชีของเราและบัญชีของผู้รับโอน ตรงนี้อาจมีค่าใช้จ่ายเพราะบางครั้งธนาคารคิดค่าธรรมเนียมเราเพิ่มด้วย และข้อมูลตรงนี้มีแค่เราสามคนที่รู้เรื่อง
แต่เทคโนโลยี Blockchain ของ Satoshi Nakamoto นี้เปิดให้ทุกคนมีเอกสารข้อมูลการเดินบัญชีทั้งหมดแบบ Public พูดได้ว่าเราสามารถรู้และตรวจสอบได้หมดว่าบัญชีไหนมีเงินเท่าไหร่ ใครโอนให้ใคร รับต่อกันอย่างไร ข้อมูลจะถูกส่งต่อถึงกันและกันได้โดยอัตโนมัติ ตรงนี้เรียกว่า ระบบกระจาย (Decentralized) ซึ่งความชัดเจนของระบบนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในปี 2008 เป็นการเปิดฉากความโปร่งใสเรื่องเงินๆทองๆให้โลกตะลึง ฉะนั้นถือว่าระบบนี้ขจัดการหมกเม็ดและสร้างความกระจ่างเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนเห็นข้อมูลตั้งแต่ต้นยันปัจจุบันด้วยกัน แตกต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นของยุคนั้นที่ความโปร่งใสในการทำธุรกรรมมาแบบขุ่นๆ สร้างความคลางแคลงใจแก่ผู้คนไม่น้อย
ในบทความถัดไปเราจะมาอธิบายกันถึงลักษณะการทำงานอย่างคร่าวๆของ Blockchian กันค่ะ
เนื้อหา: มทนา วิบูลยเสข
อัพเดท: 26-01-2018
- Aware-AWS Cloud Journey Webinar Series | EP1: Start Your Cloud Journey with AWS - October 8, 2021
- จนถึงตอนนี้แล้ว เรายังต้องให้ความสำคัญกับ Digital Transformation อยู่อีกไหม? - September 30, 2021
- ATS สมัครงาน 092021 | Job Description & Requirement - September 13, 2021
- ATS Super Referral 082021 | Job Description & Requirement - August 25, 2021
- Access Control เทรนด์หลังจากปี 2021 นี้ไป - June 28, 2021
- หน้าที่ของ IT และแพลตฟอร์มที่รองรับและใช้ในการเก็บข้อมูล | เพื่อการรองรับ PDPA - June 11, 2021
- ตอบโจทย์ PDPA ด้วย Microsoft 365 โซลูชัน - May 25, 2021
- 11 สิ่งที่ควรและไม่ควรทำเมื่อต้องใช้อุปกรณ์จัดเก็บสำรองข้อมูล - March 31, 2021
- ภายหลังการบังคับใช้ PDPA และบทลงโทษของพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล - March 31, 2021
- ใครเป็นใครใน PDPA? และประโยชน์ที่ได้จาก PDPA ใครได้อะไร? - March 31, 2021